Independence Day : Resurgence – สงครามใหม่วันบดโลก 2015

เรื่องย่อหนัง
หนัง Independence Day 2 หรือชื่อไทยว่า สงครามใหม่วันบดโลก Independence Day ได้ถูกนำกลับสร้างใหม่อีกครั้ง มหากาพย์ครั้งใหม่นี้จะโชว์ให้เห็นความหายนะของโลกที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ และการกลับมาของเหล่าเอเลี่ยนพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้หลายๆชาติในโลกต้องร่วมมือกันช่วยหาวิธีปกป้องโลกจากหายนะครั้งนี้ แต่ก็ยังไม่อะไรที่สามารถจะป้องกันโลกจากเหล่าเอเลี่ยนที่ร้ายกาจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ จะมีก็เพียงมันสมองอันชาญฉลาดของชายและหญิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องโลกนี้ได้
ตัวอย่างหนังออนไลน์

รีวิวหนัง
Independence Day : Resurgence – สงครามใหม่วันบนโลก

120 min | Action/Sci-fi | Directed by Roland Emmerich

ผ่านมา 20 ปี ถึงคราวของหนังที่เคยเป็นหนังเอเลี่ยนบุกโลกที่คลาสสิคมากเรื่องนึง ซึ่งเป็นหนังที่ใครต่อใครหลายคนต่างชอบและหยิบมาดูกันไม่ต่ำกว่าสองหรือสามครั้งกับ ไอดี4 จะมีภาคต่อกับเขาบ้าง โดยได้ผกก.คนเดิมกลับรับหน้าที่กำกับ อีกทั้งยังได้นักแสดงจากภาคเก่ากลับมาอีกมากมาย จะขาดก็แต่วิล สมิท ที่ติดปัญหาเรื่องค่าตัวและคิวงานแต่ก็เพียงพอที่จะดึงดูดแฟนๆทั้งใหม่เก่าแน่นอน

เนื้อเรื่องเองก็ผ่านมา 20 ปี หลังจากการบุกครั้งก่อนมนุษย์จดจำวันที่ 4 กรกฎาเป็นอย่างดี และได้นำเอาเทคโนโลยีของเอเลี่ยนมาศึกษาและพัฒนาอาวุธ ยานพาหนะต่างๆให้ทันสมัยมากขึ้นแต่ทว่ามันอาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะพวกมันได้กลับมาอีกครั้งและมาระลอกใหญ่กว่าเดิม เก่งกาจกว่าเดิม ทำให้มนุษย์ต้องสิ้นหวังในการต่อกรและสุ่มเสี่ยงที่โลกจะถูกทำลายล้างอีกครั้ง !!!!!

หลังจากที่ผมได้ดูสิ่งแรกที่คิดถึงเลยคือความยาวของหนัง ซึ่งมันสั้นผิดวิสัยผกก.โรแลนด์ เอมเมอร์ริชมาก แต่ความสั้นนี้ก็ช่วยให้หนังมันกระชับและไม่รู้สึกเอียน เพราะหนังยัดซีนต่อสู้ บู๊ ทำลายล้างมารัวมาก แต่ในความสั้นนี้เองก็ทำให้หลายต่อหลายซีนอย่างการบุกทำลายล้างโลก ดูรีบร้อนและไม่ได้แปลกใหม่อะไร ทำให้ตรงนี้ไม่ได้สร้างอิมแพ็คและภาพจำอย่างที่ภาคแรกเคยทำได้ และอย่างที่ผมกล่าวไปด้วยความที่บู๊มาก ทำให้หนังไม่เน้นหรือไม่มีพื้นที่ให้กับมิติอื่นๆ อย่างดราม่า และไม่ได้ลงลึกกับตัวละครมากที่ควร ทำให้ตัวละครใหม่ๆกับขาดสเน่ห์ กลายเป็นว่าตัว บิล พูลแมน หรืออดีตปธน.สหรัฐ กลับเด่นเกินหน้าเกินตาเด็กใหม่ซะงั้น !?

ถามว่าหนังสนุกมั้ย มันก็พอสนุกพอดูเอามันส์ได้เพลินๆไม่ถึงกับเบื่ออะไรนัก แต่หนังมันขาดสเน่ห์ และลืมเอกลักษณ์ของตัวเองไป จนหากมาดูสองภาคติดต่อกันคงตกใจไม่น้อยเพราะภาคต่อเรื่องนี้หลุดโทนจนคนที่ชอบภาคแรกอย่างผมแอบเสียดายอยู่พอสมควรเหมือนกันครับ